Cloud Storage ปลอดภัยแค่ไหน

และควรเลือกใช้ยังไง?

 

ทุกวันนี้เวลาเราถ่ายรูป วิดีโอ เก็บไฟล์งาน หรือแม้แต่แชร์ข้อมูลกับเพื่อน ก็มักจะมีคำว่า “ฝากไฟล์บน Cloud” โผล่ขึ้นมาเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็น Google Drive, iCloud, Dropbox หรือ OneDrive ก็ตาม หลายคนอาจยังสงสัยว่า แล้วพวกนี้มันปลอดภัยแค่ไหน? จะเลือกใช้ยังไงให้ไม่พลาด หรือเสี่ยงข้อมูลหลุด? มาคุยกันแบบเพื่อนเลยดีกว่า!

Cloud Storage คืออะไร?

 

Cloud Storageหรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “เก็บไว้บนคลาวด์” คือระบบการเก็บข้อมูลแบบออนไลน์ ไม่ต้องใช้แฟลชไดรฟ์ ฮาร์ดดิสก์ หรือ SD card ให้วุ่นวายอีกต่อไป แค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา

ลองนึกภาพว่าแทนที่เราจะเก็บไฟล์ไว้ในเครื่องคอม หรือมือถือ เราก็ย้ายมันขึ้นไปไว้บน “พื้นที่ว่างในอินเทอร์เน็ต” ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Google, Apple, Microsoft เขามีเซิร์ฟเวอร์อยู่ทั่วโลกไว้ให้บริการ คนใช้ก็เหมือน "เช่าพื้นที่" บนเซิร์ฟเวอร์นั้นนั่นแหละ

แล้วทำไมถึงเรียกว่า “Cloud”?

คำว่า "Cloud" (คลาวด์) มาจากสัญลักษณ์รูปก้อนเมฆที่ใช้แทนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแผนผังระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุคแรกๆ พอพูดถึงCloud Storageก็เลยหมายถึงการเก็บข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

Cloud Storage ทำงานยังไง?

  1. คุณอัปโหลดไฟล์ เช่น รูปภาพ วิดีโอ เอกสาร ฯลฯ ผ่านแอปหรือเว็บของผู้ให้บริการ (เช่น Google Drive, iCloud, Dropbox)
  2. ไฟล์จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต โดยมีระบบป้องกันความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัส
  3. คุณสามารถเปิดไฟล์นั้นได้ทุกที่ทุกเวลา ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตและล็อกอินบัญชีของตัวเอง
  4. ถ้าจะแชร์ก็ง่าย แค่กดปุ่ม “แชร์” แล้วส่งลิงก์ให้เพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน

ข้อดีคือ…

  • เข้าถึงไฟล์ได้จากทุกที่
  • ไม่ต้องกลัวไฟล์หายถ้าคอมพัง
  • แชร์ให้คนอื่นง่าย
  • และบางเจ้าก็มีฟีเจอร์ช่วยซิงก์ไฟล์อัตโนมัติ สบายสุดๆ

แล้ว Cloud Storage ปลอดภัยจริงไหม?

คำตอบคือ "โดยรวมแล้วปลอดภัย" แต่ต้องเลือกใช้ให้ถูก และรู้วิธีป้องกันตัวเองด้วย เพราะไม่มีอะไรที่ปลอดภัย 100% ถ้าเราเผลอหรือประมาท

สิ่งที่ทำให้ Cloud ปลอดภัยขึ้น...

เข้ารหัสข้อมูล (Encryption)

ข้อมูลที่เราอัปโหลดจะถูกเข้ารหัสทั้งตอนส่งขึ้นเซิร์ฟเวอร์ (Encryption in transit) และตอนเก็บอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ (Encryption at rest) เช่น Google ใช้ AES-256 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับพวกธนาคารเลย

ระบบยืนยันตัวตน (2FA)

ผู้ให้บริการส่วนใหญ่มีระบบ 2-Factor Authentication เช่น เมื่อเราล็อกอิน จะมีรหัสส่งมาที่มือถือก่อนเข้าได้ เพิ่มความปลอดภัยอีกขั้น

ระบบแจ้งเตือน/ล็อกกิจกรรมแปลกๆ

ถ้ามีคนพยายามเข้าบัญชีเราจากเครื่องอื่น ระบบจะเตือนทันที ทำให้เรารู้ตัวและจัดการได้ไว

แต่! อย่าลืมว่า จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดคือ “คนใช้” เอง ถ้าเราตั้งพาสเวิร์ดอ่อน หรือกดลิงก์ปลอม ก็อาจโดนแฮ็กได้เหมือนกัน

แล้วถ้ากลัวข้อมูลหลุดล่ะ?

ใครที่ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารลับ ลูกค้า บัญชีบริษัท อาจจะมีความกังวลเป็นพิเศษ ซึ่งเข้าใจได้เลย ลองดูวิธีลดความเสี่ยงแบบง่ายๆ:

  • อย่าเก็บไฟล์สำคัญในโฟลเดอร์สาธารณะ หรือแชร์ลิงก์แบบเปิดให้ใครเข้าก็ได้
  • ตั้งพาสเวิร์ดที่เดายาก เช่น มีตัวเลข ตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่ และสัญลักษณ์
  • เปิดใช้งาน 2FA เสมอ
  • สำรองไฟล์สำคัญไว้ในที่อื่นด้วย เช่น External Hard Drive
  • ถ้ามีไฟล์ลับมากๆ ลองใช้บริการที่เข้ารหัสแบบ End-to-End อย่างเช่น pCloud หรือ Tresorit

จะเลือกใช้Cloud Storageเจ้าไหนดี?

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายเจ้ามากๆ เราเลยต้องเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของเราเองด้วย ดูง่ายๆ ตามนี้เลย:

1. Google Drive

  • ฟรี 15 GB
  • เชื่อมต่อกับ Gmail, Google Docs, Sheets, Photos ได้เลย
  • ใช้งานง่าย เหมาะกับคนทั่วไป หรือสายเอกสาร
  • ปลอดภัยระดับองค์กร แต่ควรตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้ดี

2. Dropbox

  • ฟรี 2 GB (น้อยหน่อย)
  • จุดเด่นคือการซิงก์ไฟล์เร็วมาก
  • มีระบบแชร์ไฟล์มืออาชีพ
  • ดีสำหรับงานร่วมทีม หรือองค์กรเล็กๆ

3. iCloud (ของ Apple)

  • ฟรี 5 GB
  • เหมาะมากกับคนใช้ iPhone, iPad, Mac
  • ใช้ง่าย เข้ากับระบบ Apple ได้ดี
  • จุดเด่นคือความปลอดภัยสูง และมี Private Relay สำหรับซ่อนตัวตน

4. OneDrive (ของ Microsoft)

  • ฟรี 5 GB
  • ใช้ดีมากถ้าใช้งานร่วมกับ MS Office อย่าง Word, Excel, PowerPoint
  • เหมาะกับสายทำงานเอกสาร
  • ปลอดภัย และมีการเข้ารหัสแน่นหนา

5. pCloud / Mega / Tresorit (สายเน้นความปลอดภัย)

  • มีการเข้ารหัส End-to-End
  • ไม่มีใครมองเห็นไฟล์แม้แต่บริษัทเจ้าของ
  • เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสุด

สรุปง่ายๆ ว่า… จะใช้ Cloud ต้องดูอะไรบ้าง?

  1. ปริมาณไฟล์ที่เราต้องเก็บ – ถ้าเยอะมากๆ อาจต้องซื้อพื้นที่เพิ่ม
  2. ความสะดวกในการใช้งาน – ใช้ร่วมกับมือถือ คอม หรือแอปอื่นได้ดีแค่ไหน
  3. ความปลอดภัย – มีระบบเข้ารหัสดีไหม ตั้งค่าป้องกันไว้ได้แค่ไหน
  4. ราคา – ถ้าแค่เก็บรูปเล็กๆ น้อยๆ อาจใช้ฟรี แต่ถ้าเป็นมืออาชีพ อัปเกรดดีกว่า
  5. จุดประสงค์ในการเก็บ – ถ้าแค่เก็บรูป/เพลง/ไฟล์ทั่วไป ใช้ Google Drive ก็พอ แต่ถ้าเก็บเอกสารลับ ควรเลือกที่เข้ารหัสสูง

เคล็ดลับเสริม – ใช้ Cloud ยังไงให้ชีวิตดีขึ้น?

  • ตั้งให้ซิงก์อัตโนมัติ รูปจะไม่หายแม้มือถือหาย
  • แชร์งานกับเพื่อนในทีมได้แบบเรียลไทม์
  • ใช้คู่กับเครื่องมือทำงาน เช่น Google Docs หรือ Microsoft Teams
  • จัดโฟลเดอร์ให้ดี หาไฟล์ง่าย ชีวิตไม่วุ่น
  • อย่าลืม “ลบไฟล์เก่า” ที่ไม่จำเป็นบ้างนะ เดี๋ยวพื้นที่เต็ม!

ทิ้งท้าย

 

Cloud Storageเป็นของดีที่ทำให้ชีวิตดิจิทัลสะดวกขึ้นเยอะมาก แต่ก็เหมือนขับรถ ถึงรถจะดีแค่ไหน ถ้าคนขับไม่ระวัง มันก็พังได้เหมือนกัน

ใช้ให้เป็น ใช้ให้ปลอดภัย แล้วจะไม่มีปัญหาอะไรเลยจ้า!

และถ้าใครกำลังมองหาที่เก็บ “ความหวัง” ไว้ในแต่ละวัน แนะนำให้ลองเล่น หวยยี่กี หวยไว บน Global Lotto เลย เว็บนี้เขาไม่ได้แค่เปิดให้เล่นตลอดทั้งวันทุก 1-3 นาทีเท่านั้น แต่ยังเป็น เว็บหวยถูกกฎหมาย ที่มีระบบปลอดภัยเหมือนกับCloud Storageที่เล่าไปเป๊ะๆ!

เล่นได้ทุกที่ เก็บโพย กระเป๋าตังออนไลน์ในระบบแบบไม่ต้องกลัวหาย แถมยังเช็กผลย้อนหลังได้ครบ จัดระเบียบดีเหมือนเก็บไฟล์ในคลาวด์เลยจ้า ใครยังไม่เคยลอง สมัครง่าย ไม่ยุ่งยาก แล้วมาลุ้นเลขเด็ดแบบปลอดภัยกันที่ Global Lotto กันนะ!

Scroll to Top